Breaking News

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เตือนผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ส่งออก-ผู้นำเข้า ที่มีรายรับ-รายจ่ายในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ ต้องให้ความสำคัญกับการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากสถานการณ์เงินบาทเริ่มพลิกผันกลับมาแข็งค่าขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 จนทะลุแนว 34.00 ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 13 เดือนที่ 33.88 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในเดือนสิงหาคม 2567 หลังประธานเฟดส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการเตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย *** ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนค่าและสถานการณ์ความไม่แน่นอนในตะวันออกกลางดันให้ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ซึ่งเพิ่มแรงหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีกทางหนึ่ง

เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าช่วงปลายปี’67 ธุรกิจเร่งตั้งรับค่าเงินผันผวนสูง

เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าช่วงปลายปี’67 ธุรกิจเร่งตั้งรับค่าเงินผันผวนสูง
1
เขียนโดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย 2024-08-28

- การเคลื่อนไหวของเงินบาทค่อนข้างผันผวนนับจากต้นปี 2567 โดยเริ่มต้นปีด้วยการทยอยอ่อนค่าทะลุแนว 37.00 ในช่วงปลายเดือนเมษายน 2567 ก่อนจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 จนหลุดแนว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ

- ค่าเงินดอลลาร์ฯ ที่ยังอาจถูกกดดันจากโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟด อาจทำให้มีความเป็นไปได้ที่เงินบาทจะแข็งค่าแตะระดับ 33.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในระยะสั้น อย่างไรก็ดี ธนาคารกสิกรไทยยังคงตัวเลขคาดการณ์ค่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2567 ที่ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ เนื่องจากเงินบาทยังมีโอกาสแกว่งตัวตามสถานการณ์และข้อมูลเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเพิ่มเติม

ท่ามกลางสภาวะที่เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เงินบาทที่แข็งค่าทุกๆ 1% อาจมีผลกระทบต่อรายได้ผู้ส่งออกเกือบ 1 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นกว่า 0.5% ของ Nominal GDP

ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบผันผวน ในช่วง 33.88-37.17 บาทต่อดอลลาร์ฯ

การเคลื่อนไหวของเงินบาทค่อนข้างผันผวนนับจากต้นปี 2567 โดยเริ่มต้นปีด้วยการทยอยอ่อนค่าไปแตะระดับ 37.17 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงปลายเดือนเมษายน 2567 (ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 6 เดือนครึ่งในเวลานั้น) ท่ามกลางจังหวะที่ตลาดมองว่า สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งน่าจะทำให้เฟดเลื่อนเวลาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไป กอปรกับสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศของไทยที่ยังอ่อนแอ กระตุ้นให้มีกระแสเงินทุนไหลออกจากทั้งในส่วนของตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ไทย (รูปที่ 1)


สถานการณ์เงินบาทเริ่มพลิกผันกลับมาแข็งค่าขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 จนทะลุแนว 34.00 ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 13 เดือนที่ 33.88 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในเดือนสิงหาคม 2567 หลังประธานเฟดส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการเตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลังข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ เริ่มมีภาพอ่อนแอลง ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนค่าและสถานการณ์ความไม่แน่นอนในตะวันออกกลางดันให้ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ซึ่งเพิ่มแรงหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีกทางหนึ่ง


ภาพดังกล่าว ไม่ได้ปรากฏเฉพาะค่าเงินบาท แต่เกิดขึ้นกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคเช่นกัน โดย ณ วันที่ 28 สิงหาคม 2567 เงินบาทแข็งค่ามากสุดเป็นอันดับ 3 (+0.4% YTD จากต้นปี 2567) ตามหลังอันดับ 1 ซึ่งก็คือ เงินริงกิตของมาเลเซีย (+5.8% YTD) และอันดับ 2 อย่างดอลลาร์สิงคโปร์ (+1.3% YTD) ตามลำดับ

แนวโน้มเงินบาทยังแข็งค่าต่อในระยะสั้น

สำหรับแนวโน้มในระยะสั้น หรือประมาณ 1-2 เดือนจากนี้ มองว่า หาก Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนแอจากเรื่องแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดยังคงมีต่อเนื่อง อาจเห็นเงินบาทแข็งค่าแตะระดับ 33.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ได้ (คาดการณ์โดยสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย) โดยตลาดคาดการณ์ว่า เฟดน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงทุกรอบการประชุม FOMC ใน 3 รอบการประชุมที่เหลือของปีนี้ ประมาณ 0.75-1.00% เทียบกับโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ในขณะนี้ตลาดคาดว่า อาจเกิดขึ้นประมาณ 1 ครั้งในปีนี้

 


ด้านปัจจัยในประเทศ แม้จะมีภาพเป็นบวกมากขึ้นเมื่อมีทีมรัฐบาลชุดใหม่ ควบคู่วิสัยทัศน์เชิงนโยบายที่ชัดเจน แต่ก็ต้องรอบทสรุปอย่างเป็นทางการของนโยบายรัฐบาลใหม่ และการให้รายละเอียดในทางปฏิบัติที่ชัดเจนขึ้น ดังนั้น ทิศทางค่าเงินบาทในช่วงท้ายปี 2567 จึงยังมีโอกาสแกว่งตัวตามสถานการณ์และข้อมูลเศรษฐกิจที่จะเข้ามาเพิ่มเติม โดยอาจมีการปรับฐานเป็นบางช่วง ทำให้คาดว่าเงินบาทจะปิดปี 2567 ที่ประมาณ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ (ปรับจากคาดการณ์เดิมที่มองไว้ที่ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ภายใต้สมมติฐานเดิมที่มองว่าเฟดอาจเริ่มลดดอกเบี้ยช้า)
 

เงินบาทแข็งค่า 1% กระทบรายได้ผู้ประกอบการในภาคการส่งออกเกือบ 1 แสนล้านบาทต่อปี

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เงินบาทที่แข็งค่าทุกๆ 1% อาจมีผลกระทบต่อรายได้ผู้ส่งออกเกือบ 1 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นกว่า 0.5% ของ Nominal GDP ทั้งนี้ แม้สภาวะเงินบาทที่ผันผวนจะไม่กระทบกลไกการตั้งราคาสินค้าส่งออกที่มักจะอยู่ในรูปของเงินดอลลาร์ฯ มากนัก แต่คงต้องยอมรับว่า การแข็งค่าของเงินบาทอาจมีผลกระทบต่อเนื่องมายังผู้ประกอบการโดยเฉพาะฝั่งผู้ส่งออกที่มีรายได้ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ เพราะจะทำให้รายได้เมื่อแปลงกลับมาเป็นรายได้สกุลเงินบาทลดลง ซึ่งผลกระทบจะยิ่งชัดเจนขึ้นในกรณีที่ผู้ส่งออกดังกล่าวพึ่งพิงวัตถุดิบจากในประเทศเป็นหลัก (สัดส่วน Import Content ต่ำ) เพราะเป็นกลุ่มที่ไม่สามารถใช้กลไก Natural Hedge เพื่อบรรเทาผลกระทบได้ ตัวอย่างธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ได้แก่ ยางและพลาสติก รถยนต์ และการผลิตอาหาร

อีกประเด็นน่าห่วง คือ ความผันผวนที่สูงขึ้นของสกุลเงินต่างประเทศ ซึ่งมีผลกระทบทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้า

นอกเหนือจากทิศทางเงินบาทแข็งค่าจะกลับมาเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อรายได้ของผู้ส่งออกในจังหวะเข้าสู่ High Season ของการส่งออกไทยในไตรมาส 3 แล้วนั้น อีกประเด็นที่น่ากังวลเช่นกัน คือ ความผันผวนของค่าเงินที่สะท้อนผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจ ดอกเบี้ย และการเมืองระหว่างประเทศที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

ความผันผวนของค่าเงินดังกล่าว ปรากฏขึ้นทั้งกรณีเงินบาท เทียบกับสกุลเงินหลักต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดอลลาร์ฯ เยน ยูโร และหยวน (รูปที่ 3) โดยอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ เงินเยน และเงินหยวนมีระดับความผันผวนของค่าเงินนับจากต้นปี 2567 สูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วง 5 ปีก่อนโควิด (ปี 2558-2562) ซึ่งหากพิจารณาคู่กับสัดส่วนการชำระเงินสกุลต่างๆ เทียบกับมูลค่าส่งออกและนำเข้ารวมนั้น จะเห็นว่าการส่งออก-นำเข้าด้วยสกุลเงินหยวน มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการที่ค้าขายในสกุลเงินหยวนจำเป็นต้องตื่นตัวต่อความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน แม้เงินดอลลาร์ฯ จะลดบทบาทลงในการชำระเงินด้านการค้าระหว่างประเทศ แต่ก็ยังมีสัดส่วนสูงที่สุดถึง 75.3% กรณีชำระเงินค่าสินค้าออก และ 80.4% กรณีชำระเงินค่าสินค้าเข้า ณ ไตรมาส 2/2567 ดังนั้น ผู้ประกอบการที่ทำธุรกรรมสกุลเงินดอลลาร์ฯ ยังจำเป็นต้องใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเช่นกัน

สุดท้าย เนื่องจากความผันผวนของค่าเงินที่เพิ่มขึ้น กลายเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตามความซับซ้อนของปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองโลก ดังนั้น ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ส่งออก-ผู้นำเข้า ที่มีรายรับ-รายจ่ายในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ จึงต้องให้ความสำคัญกับการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เช่น Forward, Options, Futures นอกจากนี้ ก็ควรกระจายตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าเพื่อลดความเสี่ยง หลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาโดยตั้งเป้าหมายเพิ่มคุณภาพสินค้าและบริการให้เหนือคู่แข่ง เลือกใช้เงินสกุลท้องถิ่น (Local Currency) ตลอดจนบริหารจัดการรายได้และต้นทุน และลดความเสี่ยงจาก FX ด้วยวิธีอื่นๆ เช่น Natural Hedge หรือ Foreign Currency Deposits (FCD) เป็นต้น